10 เช็กลิสต์ตรวจสุขภาพเว็บไซต์ e-commerce

โดย Pay Solutions


วันนี้การจะมีเว็บไซต์ e-commerce สักเว็บหนึ่งเพื่อใช้เป็นช่องทางขายสินค้านั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะทำให้เป็นเว็บไซต์ e-commerce ที่ดีและมีประสิทธิภาพตามต้องการนี่สิเป็นเรื่องที่ต้องกลับตรวจดูว่าเว็บไซต์ของคุณมีครบหรือยัง

เว็บไซต์ e-commerce ที่ดีควรมีอะไรบ้าง

1. เครื่องมือในการวิเคราะห์ลูกค้า (Analytics Tool)

ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเว็บไซต์ e-commerce เลยทีเดียวที่ต้องมีเครื่องมือในการวิเคราะห์เพื่อให้รู้ถึงปริมาณการเข้าชมบนเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า Website Traffic และเครื่องมือที่นิยมใช้กันโดยทั่วไปก็คือ Google Analytics ซึ่งสามารถใช้ได้ฟรี และใช้งานง่าย สามารถศึกษาการใช้งานเองได้จากอินเทอร์เน็ต

การติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์ลูกค้า ทำให้เรารู้ถึงพฤติกรรมของผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ สามารถวิเคราะห์หรือไปส่องข้อมูลในหลายแพลตฟอร์ม ทำให้รู้พฤติกรรมของลูกค้าว่าเขาใช้เวลาในแต่ละเว็บไซต์นานเท่าใด ซื้อสินค้าประเภทใด และทำไมจึงออกจากเว็บไซต์

2. การจัดการรูปภาพบนเว็บไซต์ให้เหมาะต่อการทำ SEO

รูปภาพของสินค้าทั้งหมดที่อยู่บนเว็บไซต์มีผลต่อการทำ SEO เราควรต้องมีการปรับคุณภาพของรูปภาพสินค้าให้เหมาะสมกับเว็บไซต์ e-commerce เพื่อนำไปสู่การสร้างประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ที่ดีกับลูกค้า สิ่งที่ควรกลับไปพิจารณา เช่น

- การตั้งชื่อไฟล์ภาพ ให้สัมพันธ์กับภาพสินค้า เพราะมีผลต่อการจัดอันดับของ SEO

- การใส่ Alt tag หรือ Alternative Text ก็คือคำอธิบายรูปภาพบนเว็บไซต์ ตรงนี้จะช่วยบอกกับ Google ว่ารูปภาพนั้นเกี่ยวข้องกับ content อย่างไร การมี Alt tag จะช่วยให้รูปภาพปรากฏอยู่ตรงส่วนของ “Image” แนะนำให้มีคำหลักที่เป็นเป้าหมายหรือ key message อยู่ด้วย

- ขนาดไฟล์รูปภาพ ตามที่เว็บไซต์กำหนด ไม่ควรใหญ่หรือเล็กเกินไป และตั้งค่าให้ดูได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ

3. จัดการ content ให้เหมาะต่อการทำ SEO

นอกจากเรื่องของภาพแล้ว content หรือเนื้อหาก็ต้องให้ความสำคัญกับการทำ SEO เช่นเดียวกับเรื่องของภาพบนเว็บไซต์ การทำเนื้อหาเป็นสิ่งสำคัญไม่น้อยสำหรับเว็บไซต์ e-commerce ควรสร้าง content หรือเนื้อหาที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าที่มีอยู่บนเว็บไซต์และต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของมีความเป็นมิตรกับ SEO

Content หรือเนื้อหาที่ดีควรทำอย่างไร

1) คำอธิบายสินค้าชัดเจน ไม่สั้นหรือไม่ยาวจนเกินไป มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าและสอดคล้องกับตัวตนของแบรนด์เรา ต้องเขียนคำอธิบายที่เน้นการขายสักหน่อย

2) ระวัง content ซ้ำกัน หากมีสินค้าหลายตัว หลายรุ่น หลายสี ให้ระวังในการทำเนื้อหาที่อาจซ้ำ อาจทำให้เสิร์ชเอนจิ้นเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งเดียวกัน ควรตรวจสอบให้เรื่องของลิงก์ผลิตภัณฑ์หลักให้ดี

3) ทำแท็กของสินค้าให้ถูกต้อง วิธีหนึ่งที่จะแน่ใจว่าสินค้าแต่ละตัวมีเนื้อหาที่ไม่ซ้ำกันคือการติดแท็กให้ถูกต้อง เพื่อลูกค้าจะสามารถมองเห็นได้ง่าย และคลิกได้ถูกต้อง

4. มีสื่อ Social Media ของตัวเอง

การตลาด ecommerce ไม่มีสื่อโซเชียลมีเดียไม่ได้แล้ว เพราะช่องทางโซเชียลมีเดียจะช่วยในการเผยแพร่หรือแนะนำสินค้าจากคนหนึ่งสู่หลาย ๆ คนได้ง่ายขึ้น ลูกค้าสามารถที่จะช่วยเราแชร์ให้เพื่อนหรือครอบครัวของเขาได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มยอดขายและทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักหรือได้รับความนิยมมากขึ้น แนะนำว่าควรใช้ชื่อโปรไฟล์เหมือนวกันทุกแพลตฟอร์ม เพื่อเพิ่มการจดจำ อย่าลืมใช้รูปโปรไฟล์และรูปภาพผลิตภัณฑ์ที่เหมือนกันทั้งหมดด้วย เพื่อลูกค้าจะดูได้ง่ายขึ้น

5. มีจดหมายข่าวถึงลูกค้า

การทำ Newsletter หรือจดหมายข่าวทางอีเมล ก็เป็นวิธีที่ดีในการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า จริง ๆ แล้ววิธีนี้ก็เป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ดีวิธีหนึ่ง การส่งจดหมายข่าวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มสมาชิกขาประจำให้ได้ ด้วยวิธีนี้เราสามารถแชร์ข่าวสาร และข้อเสนอพิเศษส่งตรงถึงลูกค้าได้เลย แต่ต้องระวังในการนำเสนอข่าวสารอย่ายัดเยียดการขายมากจนกลายเป็นสแปมไป

6. มีระบบค้นหาและกรองสินค้า

ระบบค้นหาและกรองสินค้า เป็นองค์ประกอบสำคัญสำหรับเว็บไซต์ e-commerce เลยทีเดียว เพราะลูกค้าอาจไม่มีเวลาในการสำรวจเว็บไซต์ของเรามากนัก การมีระบบค้นหาและคัดกรองสินค้าจะช่วยให้พบสินค้าที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว และเพิ่มโอกาสในการขายได้มากขึ้น

7. ระบบสั่งซื้อ/ตะกร้าสินค้า

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรบเว็บไซต์ e-commerce นั่นก็คือ ระบบสั่งซื้อ หรือตะกร้าสินค้า เพราะระบบนี้จะเป็นเหมือนเซลส์ที่ช่วยขายสินค้าและรับออเดอร์ให้กับเว็บไซต์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง การติดตั้งระบบตะกร้าสินค้าควรเลือกระบบที่สามารถคำนวณราคาสินค้าที่แม่นยำ แจงรายละเอียดสินค้าได้ถูกต้อง มีหน้าตาที่เข้าใจง่าย ทั้งจำนวนสินค้า ราคาแต่ละชิ้น ส่วนลดต่าง ๆ ราคารวมทั้งหมด รวมถึงค่าจัดส่ง และสุดท้ายคือนำลูกค้าไปที่หน้าของการชำระเงินได้เลยทันที

8. มีช่องทางการชำระเงินครบทุกช่องทาง ทุกรูปแบบ สะดวก น่าเชื่อถือ

จำไว้ว่าเรื่องเงินเป็นเรื่องสำคัญ วิธีการชำระเงินที่ทันสมัย สะดวกรวดเร็ว มีครบทุกวิธี ทุกรูปแบบ ทุกช่องทาง มีความปลอดภัย น่าเชื่อถือ จะช่วยเพิ่มลูกค้าประจำให้กับเว็บไซต์ e-commerce ของคุณได้อย่างแน่นอน

วิธีการชำระเงินเรียกได้ว่าเป็นด่านสุดท้ายของการซื้อ เว็บไซต์ที่ติดตั้งหรือมีระบบการชำระเงินที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าได้ถือว่ามีชัยไปกว่าครึ่ง เราคงไม่อยากเห็นภาพลูกค้าผิดหวังหรือไม่พอใจในขั้นตอนการขายขั้นตอนสุดท้ายนี้ เราจะปิดการขายได้หรือไม่ ขั้นตอนนี้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่สำคัญมาก

การจะมีระบบชำระเงินที่สมบูรณ์แบบนี้สามารถมีได้ไม่ยาก วิธีแรกคือสร้างขึ้นมาเองแต่มีข้อเสียคือไม่ใช่ทุกเว็บไซต์ที่จะสามารถลงทุนสร้างระบบขึ้นมาเองได้ทั้งหมด หากเว็บไซต์ของเราไม่มีเงินทุนมากพอหรือยังเพิ่งเริ่มต้น ไม่มีคนที่เชี่ยวชาญในเรื่องของระบบเพย์เมนต์มาดูแลให้ ยังมีทางออกที่ดีอีกแบบหนึ่งคือ การใช้บริการ Payment Gateway ที่เป็นมืออาชีพจริง ๆ

ขอแนะนำ PaySolutions.asia ผู้ให้บริการ Payment Gateway รายแรกของไทย เรียกได้ว่าเป็นผู้เชียวชาญระบบชำระเงินออนไลน์หรือ e-Payment เพื่อเว็บไซต์และแอปพลิเคชันตัวจริง ให้บริการการรับชำระเงินครบทุกรูปแบบทั้งช่องทางออฟไลน์หรือออนไลน์

ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรเดบิต จุดรับชำระผ่านเคาน์เตอร์ อินเทอร์เน็ตแบงค์กิ้ง นอกจากนี้ยังมีระบบการชำระเงินแบบผ่อนชำระนานสูงสุด 10 เดือน ฯลฯ มีบริการ Pay Social ที่เป็นบริการชำระเงินผ่านทางโซเชียลมีเดียด้วยระบบ Link Payment อีกด้วย และที่สำคัญยังพัฒนารูปแบบการชำระเงินใหม่ ๆ เพื่อให้ทันต่อเทคโนโลยีที่กำลังก้าวเข้ามา เช่น การชำระเงินด้วย Cryptocurrency

ในเรื่องของความปลอดภัยในการจ่ายเงินของลูกค้า Pay Solutions มีมาตรฐานความปลอดภัยสูงระดับสากล SSL (Secure Sockets Layer) เพิ่มความปลอดภัยในการชำระเงินด้วยระบบรักษาความปลอดภัย Verify by VISA และ MasterCard SecureCode และมีระบบตรวจสอบทุกรายการสั่งซื้อ มั่นใจได้ว่าทุกรายการมีความปลอดภัยสูงสุด

หากคุณสนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่องนี้ได้ที่ LINE ID : @paysolutions หรือ โทร.095-372-2152 และที่หลายคงเป็นกังวลว่าต้องติดตั้งเพิ่มเติมในระบบอะไรบ้าง เรามีระบบเชื่อมต่อที่ง่าย และรองรับ CMS มากมาย ทั้ง Woocommerce, Virturemart, Magento, Opencart สะดวกสบายทั้งเจ้าของเว็บไซต์ยและนักพัฒนา ถือได้ว่าเป็นผู้ให้บริการระบบชำระเงินออนไลน์ ที่พร้อมสนับสนุนให้ร้านค้าสามารถรับชำระเงินได้ในหลากหลายรูปแบบ

9. การจัดส่งสินค้าและการติดตามสินค้า

สืบเนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การคนลดการเดินทางออกไปข้างนอก นิยมการซื้อสินค้าทางออนไลน์มากขึ้น และคาดว่าจะกลายเป็นวิถีปกติต่อไป ดังนั้น หากเว็บไซต์ของคุณ e-commerce ของคุณมีเกือบครบทุกข้อข้างต้นแล้ว ก็คงต้องดูเรื่องของระบบการจัดส่งสินค้าด้วย ซึ่งโดยทั่วไปลูกค้ามักจะชอบซื้อสินค้าจากผู้ขายที่มีทางเลือกในการจัดส่งให้หลากหลาย ลูกค้าเองมักจะยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อแลกกับการจัดส่งที่รวดเร็วทันใจ และที่สำคัญลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้าอีกครั้งหรือเป็นลูกค้าประจำหากได้รับประสบการณ์การซื้อที่ดีมาก่อน

ดังนั้นเรื่องของการจัดส่งสินค้าก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้เลย คุณอาจจะใช้ระบบขนส่งจากผู้ให้บริการด้านขนส่งสินค้าที่เชื่อถือได้และเป็นผู้ให้บริการที่มีระบบติดตามสินค้าที่ตรวจสอบง่าย ก็จะยิ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้มากขึ้น นอกจากนี้ในเว็บไซต์อาจมีแคมเปญหรือบริการพิเศษในการจัดส่งสินค้าให้ฟรีตามสมควร

10. การสำรองข้อมูล

เรื่องของข้อมูลถือว่าเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง เมื่อสินค้าได้รับการอัปเดตทุกวัน ก็จำเป็นต้องมีการสำรองข้อมูลสำหรับเว็บไซต์ไว้ด้วยเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อกันไม่ให้ข้อมูลสูญหาย สำหรับเว็บไซต์ที่เป็น ecommerce หากลูกค้าไม่สามารถเข้าสู่งเว็บไซต์ของคุณ หรือเว็บไซต์มีปัญหาง แน่นอนย่อมส่งผลกระทบต่อรายได้และความนิยมของเว็บไซต์อาจลดลง

ทั้งหมดนี้คือ 10 ข้อเช็กลิสต์เพื่อตรวจสอบสุขภาพเว็บไซต์ของคุณ เมื่อตรวจสอบจนครบทุกข้อแล้ว อย่าลืมตรวจสอบเรื่องเล็ก ๆ น้อยด้วย เช่น ลิงก์ต่าง ๆ หน้า Landing Page เช็กชื่อสินค้าและราคาให้ถูกต้อง ฯลฯ อย่าลืมว่าควรตรวจสอบสุขภาพเว็บไซต์ e-commerce และอัปเดตข้อมูลสม่ำเสมอ หรือกล้าทดลองใช้เครื่องมือใหม่ ๆ เชื่อว่ารบร้อยครั้งคุณก็จะชนะร้อยครั้งเช่นกัน